ไทยตั้งเป้าขึ้นแท่น Medical Hub อาเซียนภายในปี 2570 ตัวเลขส่งออกเครื่องมือแพทย์ตลอด 9 เดือนแรกของปี 2564 เติบโต 22% ตัวเลขอย่างเดียวยังไม่พอ หากจะสำรวจว่าเราอยู่ในแทรคที่จะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ จำเป็นต้องลงลึกไปว่าเรามีศักยภาพในการผลิตเครื่องมือแพทย์อะไรบ้าง อยู่ในเทรนด์ที่จะโตหรือไม่ 

 

ในฝั่งสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎระเบียบว่าด้วยอุปกรณ์การแพทย์ (EU Medical Devices Regulation – MDR) เมื่อปี 2560 ซึ่งแบ่งเครื่องมือแพทย์เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ 

  • Class I ซึ่งหมายถึงเครื่องมือความเสี่ยงต่ำ เช่น ผ้าพันแผลและผ้าคลุมเตียง
  • Class II หรือความเสี่ยงปานกลาง เช่น หลอดฉีดยาและเข็ม
  • Class III หรือความเสี่ยงสูง เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและรากฟันเทียม

 

กฎระเบียบนี้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 และผู้ผลิตที่ต้องการเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ก็ต้องขอรับใบอนุญาตก่อนเริ่มดำเนินการผลิต และในฝั่งผู้ที่ต้องการส่งออกสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ISO 13485 นอกจากการจัดทำและบังคับใช้มาตรฐานแล้ว ผู้ผลิตยังจำเป็นต้องมีสายการผลิตที่เหมาะสม โดยในสหรัฐอเมริกา โรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ด้านงานโลหะส่วนใหญ่แล้วจะใช้เครื่องจักร Machining Center แบบ 5 แกน และเครื่อง CNC แบบ Swiss type อีกทั้งปัจจุบันยังเริ่มมีการใช้งาน 3D Printer มากขึ้น 

 

1. การแพทย์ทางไกล

มีการรักษาผู้ป่วยหลายกรณี ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน หรือต้องทำกายภาพบำบัดอีกหลายครั้งจึงจะหายดี อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องพบแพทย์บ่อยครั้งในช่วงต้นของการรักษา นำมาซึ่งการเสียเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นอย่างมาก ซึ่งการระบาดของโควิดทำให้การพบแพทย์ยากลำบากกว่าที่ผ่านมา ทำให้เทคโนโลยี Remote Monitoring ถูกจับตามองในฐานะเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมในอุตสาหกรรเครื่องมือแพทย์ และพึ่งพาการใช้  “เซนเซอร์” รูปแบบต่าง ๆ ในการตรวจคนไข้โดยไม่ต้องไปยังโรงพยาบาล หรือใช้ช่วยสนับสนุนการกายภาพบำบัด 

 

2. การจำลองร่างกายผ่านซอฟต์แวร์

ปัจจุบัน วัสดุทดแทนกระดูก หรือกระดูกเทียม เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านกระดูกทั้งจากอุบัติเหตุ หรือการเสื่อมสภาพตามอายุ ซึ่งกระดูกเทียมเหล่านี้มักทำจากโลหะที่มีความคงทนอย่างไทเทเนียม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางออกที่ดีเสมอไป 

ด้วยเหตุนี้เอง ความพยายามจำลองกลไกทางธรรมชาติจึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารเคมีเคลือบกระดูกเทียม หรือการออกแบบรากฟันเทียมให้สามารถจำลองกระบวนการได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้ความต้องการซอฟต์แวร์สำหรับจำลองกระบวนการทางชีววิทยามีความต้องการมากขึ้น ซึ่งหลายซอฟต์แวร์ก็ไม่ต่างจากที่ใช้ในการจำลองเครื่องจักรกลแต่อย่างใด 

 

3. กระดูกเทียมจาก 3D Printer

Additive Manufacturing เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะ Metal 3D Printer ซึ่งสามารถพิมพ์ผงโลหะออกมาเป็นชิ้นงานที่มีโครงสร้างรูพรุนแต่ทนทาน ซึ่งเหมาะแก่การนำมาผลิตกระดูกเทียมเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะมีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกระดูกจริงแล้ว ยังมีความทนทานสูงกว่ามาก ซึ่งเมื่อนำมาใช้ร่วมกับ CT Scan จะทำให้แพทย์สามารถผลิตกระดูกเทียมสำหรับคนไข้แต่ละรายได้ ไปจนถึงการพิมพ์บางส่วนของกระดูก เช่น ในกรณีที่มีผู้ประสบอุบัติเหตุจนกะโหลกศรีษะร้าว แพทย์ก็สามารถพิมพ์กระดูกจากไทเทเนียมหรือ PEKK (polyetherketoneketone) มาแทนที่เฉพาะส่วน นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะไปไกลกว่าการพิมพ์กระดูกอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีการวิจัยการพิมพ์ผิวหนังและกระดูกอ่อนแล้ว 

 

4. หุ่นยนต์ผ่าตัด

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หุ่นยนต์ผ่าตัดเริ่มเข้ามามีบทบาทในสถานพยาบาลมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือหุ่นยนต์ทำงานได้แม่นยำกว่ามนุษย์ สามารถผ่าตัดแผลขนาดเล็กหรือจุดที่มือเข้าถึงได้ยาก และคาดว่าจะมีมูลค่าในตลาดโลกมากถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 อย่างไรก็ตาม หุ่นยนต์เหล่านี้ยังต้องอาศัยการควบคุมจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 

 

5. เชื่อมต่อมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์

อาจจะฟังดูเหมือนภาพยนตร์ไปบ้าง แต่แนวคิดการเชื่อมต่อมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องที่มีมาหลายสิบปี และอาจเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต เนื่องจากในปัจจุบันมีความพยายามที่ใกล้เคียงกันอยู่ เช่น นิวรัลลิงก์ (Neuralink) ซึ่งก่อตั้งโดยอีลอน มัสก์ ซึ่งมีความพยายามจะทดลองเชื่อมต่อสมองของมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น อวัยวะเทียมที่สามารถควบคุมได้ หรือ “BrainGate” ของมหาวิทยาลัยการแพทย์ชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยทัฟส์ ที่เกิดจากการรวมตัวของแพทย์ วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ และร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์มาแล้วกว่า 20 ปี ซึ่งคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้พิการเป็นอย่างมาก

 

 

ที่มา : M Report