เมื่อเร็ว ๆ นี้ ราคาทองแดงโลกได้ขยับขึ้นเป็นตันละ 10,190 ดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดรอบ 11 ปี สาเหตุหลักมาจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ หลายฝ่ายคาดการณ์ ปลายปีนี้ซัพพลายทองแดงจะเกินความต้องการ จากการเพิ่มการผลิตในจีน คองโก และอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา 

 

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ราคาทองแดงได้พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม 2020 ราคาทองแดงใน London Metal Exchange ตกลงไปอยู่ที่ตันละ 4,300 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากโควิด อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่รวดเร็วในประเทศจีน ทำให้ราคาพุ่งกลับมาอยู่ที่ตันละ 6,600 ดอลลาร์ได้ภายในเดือนมิถุนายน จนกระทั่งล่าสุดในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ทองแดงก็มีราคาขึ้นไปถึงตันละ 10,190 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 11 ปี

 

หนึ่งในสาเหตุที่ราคาทองแดงพุ่งสูง คือความต้องการจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นผลจากการที่หลายค่ายรถหันมามุ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยในรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินทั่วไป จะมีการใช้ชิ้นส่วนจากทองแดงเฉลี่ยเป็นน้ำหนักที่ 20-30 กิโลกรัมต่อคัน แต่ในรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการใช้ชิ้นส่วนทองแดงรวมถึง 80 กิโลกรัมต่อคัน

 

ในปี 2563 ที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในหลายประเทศเช่น จีนที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย NEV (New Energy Vehicles) และมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 1.36 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่เยอรมนีมียอดขาย 1.9 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 3 เท่า และล่าสุดสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไบเดนประกาศลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มถึง 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้คาดการณ์ได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายมากขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก

 

ผู้ผลิตทองแดงรายหนึ่งแสดงความเห็นว่า ราคาทองแดงอาจเริ่มลดลงในเดือนมิถุนายน 2564 เนื่องจากวิกฤตขาดแคลนชิปที่ทำให้หลายค่ายรถต้องลดกำลังการผลิตยานยนต์ลง และเสริมว่าหากราคาไม่ลดลงจริง ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากโควิดย่อมไม่สามารถซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นได้ อีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ สถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันพบกับความท้าทายในการพัฒนาสถานีชาร์จไฟที่มีความร้อนต่ำ ซึ่งหากราคาทองแดงยังคงสูงขึ้นต่อไป ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภาระจะไปตกที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนสถานีชาร์จ หรืออาจเป็นไปได้ว่าจะมีการพิจารณาเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการผลิตสถานีชาร์จก็เป็นได้

 

ปัจจุบัน ความต้องการทองแดงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีตลาดขนาดใหญ่ทำให้มีแนวโน้มว่าราคาทองแดงจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคมที่กำลังจะถึงนี้มีงานฉลองครบรอบ 100 ปีกการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้การลงทุนต่าง ๆ ในช่วงนี้เพิ่มสูงเป็นพิเศษ และเป็นไปได้ว่าจีนอาจชะลอการลงทุนลงหลังจากนี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ราคาทองแดงลดลงมาได้

 

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผลจากการกระจายวัคซีนที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) และอาจมีมาตรการคุมเข้มต่อการเก็งกำไรทองแดง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็จะทำให้ราคาทองแดงลดลงมาได้อีกด้วย

 

การที่ผู้บริโภคหันมาสนใจรถ อีวี มากขึ้นอาจจะเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว ด้านอุตสาหกรรมจึงยังไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทาง Manuhub หวังว่าเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ จะกลับเป็นปกติในไม่ช้า

 

 

ที่มา : Nikkan Kogyo Shimbun และ M Report