การระบาดของโควิดในไทยมานานเกือบสองปี สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อธุรกิจ บุคลากร และเทคโนโลยี สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) ทำให้เทรนด์การทำงานในอนาคตแตกต่างจากเดิม

 

จากผลสำรวจของบริษัทฯ และคู่ค้าในประเทศไทย พบว่า ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมานี้ บริษัทในไทยมีการเปลี่ยนแปลงแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ ได้แก่

1. การเปลี่ยนแปลงของบุคลากร 

ในปีที่ผ่านมา บริษัทในไทยมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับบุคลากร โดยในอุตสาหกรรมไอทีมีบุคลากรยุคใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น ในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ และการเลิกจ้าง

2. การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

ในปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟต์เห็นว่าธุรกิจส่วนมากหันมาทำงานแบบ Work from Home, เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากออฟไลน์เป็นออนไลน์, และการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

3. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของธุรกิจไทยในปี 2563 คือ Digital Transformation, การนำข้อมูลเข้ามาใช้, และการสร้างแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ทั้ง E-Commerce, Logistics, และ Delivery 

 

ไมโครซอฟต์รายงานว่า เทรนด์การทำงานที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ในปี 2564 มี 7 ข้อ ดังนี้

1. การทำงานต้องยืดหยุ่นได้ ไปต่อแบบ Hybrid การทำงานแบบไฮบริดระหว่างการทำงานดั้งเดิม และการทำงานทางไกลไม่ทำให้ประสิทธิภาพการลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้น ซึ่งหลายบริษัทได้ปรับ Policies มาเป็นการทำงานแบบไฮบริด เช่น ไมโครซอฟต์ให้พนักงานเลือกได้ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ หรือทำงานทางไกล และเปลี่ยนระบบชั่วโมงทำงาน ให้พนักงานเริ่มงานและเลิกงานเวลาไหนก็ได้จนกว่าจะครบ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่ง 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยอยากทำงานไฮบริด และมีเพียง 26% ที่อยากกลับไปทำงานออฟฟิศ

2. ผู้บริหารต้องเรียนรู้การสานสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เนื่องจากผู้นำธุรกิจมักห่างเหินกับลูกจ้าง

3. คนทำงานส่วนใหญ่เหนื่อยจาก Digital Overload โดย 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความเห็นว่าการทำงานที่บ้านเหนื่อยกว่าการทำงานที่ออฟฟิศ

4. เมื่อ Gen Z เจอความท้าทายในการ engage แบบ Virtual ที่ผ่านมา คนส่วนมากเข้าใจว่า Gen Z คุ้นเคยกับคอมพิวเตอร์ แต่ในความเป็นจริง หลายองค์กรพบว่า Gen Z มีปัญหาในการทำงานทางไกล โดยปัญหาส่วนใหญ่คือไม่กล้าแสดงความเห็นแทรกขึ้นมาระหว่างทำงาน

5. เมื่อวงการทำงานแคบลง เป็นอุปสรรคต่อความคิดใหม่ ๆ เนื่องจากการทำงานทางไกลทำให้พนักงานไม่ได้พบปะผู้คน ทำให้มีเครือข่ายการทำงานที่แคบลงจากเดิม

6. เปิดเผย จริงใจ ในสภาพเรียล ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจ และสมดุลในชีวิตการทำงาน ไมโครซอฟต์แนะนำว่า หากไม่ใช่การประชุมที่เป็นทางการมากอย่างเช่นการประชุมผู้ถือหุ้น พนักงานไม่ควรเครียดเกินไป เช่น หากมีเสียงเด็กร้อง เสียงสุนัขเห่าเข้ามาในไมค์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องถือเป็นความผิด เพื่อช่วยลดความเครียดของพนักงาน

7. ตลาดแรงงานเปลี่ยนไปเมื่อคนเก่งสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ตลาดแรงงานในอนาคตจะเปลี่ยนไป เพราะคนเก่งทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ได้จำกัดเพียงการนั่งทำงานในออฟฟิศ ซึ่งรวมไปถึงนายจ้างก็จะมีอิสระในการจ้างงานมากขึ้น เช่น เลือกจ้างพนักงานที่พักอยู่ในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ 

 

การทำงานวิถีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 1-3 ปีข้างหน้าจากเทคโนโลยีดิจิทัล มี 8 ข้อ ดังนี้

1. ทำงานที่ไหนก็ได้ ทั้งในแง่เทคโนโลยี และ Policy แต่ต้องตอบโจทย์ Productivity ขององค์กร

2. ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ชีวิตผ่านช่องทางดิจิทัล ทั้งการซื้อของ การเรียน ไปจนถึงการรับสื่อบันเทิง ซึ่งองค์กรควรตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้ 

3. Cloud Economy คลาวด์จะตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ และเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็น Pay to Use ทำให้องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนเทคโนโลยี แต่ใช้ผ่านคลาวด์ เช่น การเช่าระบบแทนการติดตั้งระบบของตัวเอง

4. ข้อมูลที่องค์กรมีสามารถนำมาสร้างมูลค่าได้ เช่น การนำข้อมูล และ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของแอปพลิเคชัน ซึ่งในอนาคตจะมีการนำมาใช้มากขึ้น ทั้งรถไร้คนขับ ระบบอัตโนมัติ และอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Digital Twin ที่สามารถจำลองโรงงานออกมาได้ 100%

5. การร่วมมือทางธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจสู่ธุรกิจ และธุรกิจสู่ลูกค้า

6. การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งอาจรวมไปถึงการพัฒนาให้บุคลากรสามารถทำงานแอปพลิเคชัน หรือระบบอัตโนมัติง่าย ๆ ได้

7. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสม สร้างความมั่นใจให้องค์กร และลูกค้า

8. Sustainable Development Goals (SDGs) จะเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้อีกต่อไป บริษัทไม่อาจมุ่งเพียงการพัฒนาธุรกิจ แต่ต้องนึกถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งหลายองค์กรไทยก็ได้เริ่มต้นแล้ว

 

ที่มา : M Report